ประภาการ์หรือ “ประโภ” เพื่อนร่วมคลาสและเป็นเหมือนรูมเมทของผมที่อาศรมศิวนันทะที่เนยาร์แดม เมืองตรีวันดรัม อาจจะรู้สึกงงงวยเล็กน้อยว่าผมจะอยากไป
“ที่นั่น” ทำไม ขณะที่มีเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ แม้จะไม่ได้พูดออกมา (ให้ผมเสียน้ำใจ) แต่ผมคิดว่าในใจเขาคงจะพูดว่า
“ใครๆ เขาก็ไป ‘มัยซอร์’ กันเป็นเดือนๆ ด้วยกันทั้งนั้น”
ช่างโชคร้ายในความโชคดีที่หลังจากจบการเรียนหลักสูตรครูโยคะที่เนยาร์แดมเสร็จแล้ว ผมบังเกิดความรู้สึกกำเริบเสิบสานขึ้นมาว่า อย่างไรเสียก่อนกลับบ้านก็อยากจะไปให้ถึง “มัยซอร์” (Mysore) ให้จงได้ เพราะไหนๆ ก็ลงทุนลงแรงเดินทางมาถึงถิ่นอินเดียแล้ว เดินทางต่อไปอีกหน่อยจะเป็นไร จะได้ไม่ต้องเสียเที่ยว ตีตั๋วเครื่องบินกลับมาอีกเวลาที่นึกขึ้นมาว่า อยากจะไปเห็น (และเที่ยว) มัยซอร์
เวลาในตอนนั้นที่ผมมีคือประมาณสิบวันและได้ “ประภาการ์” นั่นเองเป็นคนแนะนำและช่วยติดต่อหาที่ฝึกโยคะในเมืองมัยซอร์ให้…ใช่แล้วครับ ใครๆ ที่นึกถึงมัยซอร์ก็มักจะนึกถึงการไปเพื่อไปฝึกโยคะที่เมืองนี้กันทั้งนั้น
“ประโภ” แนะนำผมว่าน่าจะไปฝึกมัยซอร์กับครูโยคะที่เขารู้จักคนหนึ่งชื่อ “อะเจย์” (Ajay Kumar) ซึ่งเขาจะเป็นคนติดต่อสอบถามให้ผมก่อนว่าพอจะมีที่ว่างให้นักเรียนนอกคอกผู้มีเวลาน้อยแค่ไม่ถึงครึ่งเดือน ขอเข้าไปฝึกด้วยที่ “ศาลา” (Shala) ของครูอะเจย์ด้วยจะได้หรือไม่
หลังจากประโภติดต่อให้ไปแล้วเขาก็บอกว่าอย่างไรเสียผมก็น่าจะได้โทรไปพูดคุยกับครูเองเผื่อจะสอบถามอะไรหรือได้รู้คำตอบด้วยตัวเองว่า จะพอแทรกตัวเข้าไปฝึกในศาลาของครูอะเจย์ได้หรือไม่ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมจะต้องไปเฝ้าวนเวียนแถวบู้ทโทรศัพท์ของอาศรมที่เนยาร์แดมในทุกขณะที่มีเวลาว่างจากการเรียน การฝึกและทำกิจกรรมให้อาศรม (กรรมโยคะ) และต้องฝ่าฟันกับแถวต่อคิวยาวเหยียดของผู้คนในอาศรมที่กระหายการติดต่อกับโลกภายนอก
“นายมาเรียนได้ ถ้าหากว่ายอมที่จะเข้าฝึกในคลาสตอนตีห้า ตกลงไหม” ปลายทางของสายโทรศัพท์ที่มัยซอร์คือน้ำเสียงของ “อะเจย์” ที่ผมได้ยินเป็นครั้งแรก แต่ยังคาดเดาไม่ออกว่าเขาจะเป็นชายในวัยใด ได้แต่นึกไปก่อนว่า จากการที่ทั้งประโภและนิเลศ (เพื่อนชาวอินเดียที่อาศรมฯ ซึ่งรู้จักอะเจย์ ทั้งยังเคยไปช่วยอะเจย์สอน) เป็นผู้แนะนำผม บอกว่าอะเจย์เป็นครูอัษฎางคะโยคะสไตล์มัยซอรที่ได้รับการยอมรับที่สุดคนหนึ่งตอนนี้ ผมเองก็คิดว่าเขาเองน่าจะมีอาวุโสมากไม่น้อย
ต้นเดือนที่สองของปี 2553 ผมลากกระเป๋าแบกเป้หลังใบเขื่อง นั่งรถไฟตอนกลางคืนเพื่อจะไปถึงรุ่งเช้าที่เมืองบังกาลอร์ (ชื่อใหม่อย่างเป็นทางการตอนนี้คือเมือง Bengaluru) เมืองใหญ่ที่ใกล้ที่สุดกับมัยซอร์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 140 กิโลเมตร และผมก็จับรถไฟ Chamundi Express เที่ยวแรกในตอนเช้าวันนั้นแบกเป้หลังย่อมๆ อีกใบหนึ่ง (ที่เหลือผมเช่าล็อกเกอร์เก็บกระเป๋าเอาไว้ที่สถานีรถไฟบังกาลอร์นั่นเอง) ใช้เวลาเดินทางแค่ชั่วนั่งเพลินๆ ไม่กี่ชั่วโมงด้วยบริการรถไฟตู้นั่งปรับอากาศแสนสบาย ผมก็มาถึงมัยซอร์เอาเมื่อต้นๆ บ่ายของวันเดียวกัน จัดการเรียกรถออโต้ริกชอว์หรือรถตุ๊กตุ๊กของอินเดีย มุ่งตรงดิ่งไปยัง “ศาลาแปด” (Sthalam8) ของอะเจย์ในบัดดลเพื่อรายงานตัวกับครูก่อนว่า แม้จะมีเวลาน้อยในการมาขอเข้าฝึก แต่ผมก็ไม่ได้เบี้ยว (นะคร้าบ)
ถึงจะหง่อมและกรำจากการเดินทางรอนแรมหลายต่อ จากตรีวันดรัมมาเมืองโคชิน จากโคชินมาบังกาลอร์ แล้วค่อยต่อรถมาถึงมัยซอร์ในที่สุด แต่สัมผัสแรกของผมที่ได้เห็นเมืองนี้ก็รู้สึกดีทีเดียวและรู้สึกได้ถึงความร่มรื่น ไม่พลุกพล่านและน่าใช้เวลาดีทีเดียว
พอไปถึงและได้พูดคุยกันสักครู่ ผมถึงได้พบว่าครูอะเจย์ในตอนนั้นเป็นแค่เด็กหนุ่มท้องถิ่นอายุอานามประมาณ 24 ปีเท่านั้นเอง ถึงแม้จะยังดูเด็กแต่เขาก็มีรังสีออร่าน่าเชื่อถือ เขาได้บอกให้คนที่ศาลาพาผมไปเช็คอินในโรงแรมที่อยู่ไม่ห่างจากที่ฝึก แค่เพียงสองกิโลเมตรเท่านั้น เหมาะสำหรับการเดินเท้าออกมาฝึกมัยซอร์ในคลาสกับอะเจย์ตอนตีห้าได้ (แน่ล่ะว่าผมจะต้องตื่นและก้าวเท้าออกจากโรงแรมที่พักก่อนเวลาตีห้า!) และบอกว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยมาเจอกัน
ศาลาแปดของอะเจย์นั้นอยู่ไม่ห่างจากใจกลางเมืองของมัยซอร์เท่าไรนัก แต่ก็ขยับไกลออกไปจากโรงแรมที่ผมพักซึ่งอยู่ใกล้ “พระราชวังของมหาราชามัยซอร์” (Mysore Palace) ที่เที่ยวอันดับต้นๆ และตลาดร้านรวงต่างๆ โดยเฉพาะตลาดหลักที่มีชื่อว่า “เทวราชา” (Devaraja) ซึ่งเป็นตลาดสดและขายสินค้าขนาดใหญ่ที่มีสีสันมาก ก็อยู่ห่างจากที่พักออกไปแค่ระยะทางเดินเล่นไม่เกินหนึ่งหรือสองกิโลเมตรเท่านั้น
รุ่งเช้าอีกวันผมออกเดินจากที่พักตอนตีสี่ครึ่ง เมืองทั้งเมืองยังเงียบสงัดแต่ไม่ค่อยวังเวงเท่าไรนัก อากาศยังคงเย็นเพราะเป็นฤดูกาลช่วงต้นปีอยู่ แต่เมื่อฝึกมัยซอร์เสร็จตอนประมาณเจ็ดโมงเช้าร่างกายกลับแข็งแรงขึ้นและมีพลังอย่างประหลาด ตอนนั้นผมแอบนึกเสียดายว่าตัวเองจะมีเวลาฝึกโยคะที่เมืองนี้ไม่กี่วัน เมื่อเปรียบเทียบกับนักเรียนคนอื่นๆ ซึ่ง 80 เปอร์เซ็นต์เป็นฝรั่งผมทองทั้งชายและหญิง มีชาวเอเชียจากญี่ปุ่นบ้าง ไต้หวันบ้าง…และมีคนไทยคือผมเพียงคนเดียว
สำหรับคนที่มีพื้นฐานในการฝึกโยคะสไตล์ Ashtanga มาบ้างคงจะพอคุ้นเคย เคยได้ยินหรือเคยฝึก Mysore Yoga มาบ้าง ซึ่งจากประสบการณ์ในการฝึกมัยซอร์ของผมที่เมืองไทยและจากอินเดีย (ก็ที่มัยซอร์นั่นแหละครับ) ผมขอเล่าคร่าวๆ ถึงโยคะรูปแบบนี้ให้ฟัง
มัยซอร์โยคะ (Mysore Yoga) มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานและเกี่ยวพันกับคุรุโยคะยุคใหม่ของอินเดียที่ล่วงลับไปแล้วสองท่านคือ ท่านกฤษณมาจารย์ (Sri Tirumalai Krishnamacharya) และท่านศรีภัตตาปิ โชอิส (Sri K Pattabhi Jois Ashtanga Yoga Institute ที่เมืองมัยซอร์) ท่านกฤษณมาจารย์เป็นครูของท่านศรีปัตตาภิ โชอิส และเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนโยคะขึ้นในวังมหาราชามัยซอร์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองในรัฐกรณาฏกะ (Karnataka) เมืองนี้มีภาษาประจำรัฐหรือภาษาถิ่นของตัวเองเช่นเดียวกับหลายๆ รัฐของอินเดีย คือภาษากันนาดา
แต่มัยซอร์โยคะเป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่วโลกจากการสืบสานหฐโยคะในแบบอัษฎางคโยคะของท่านปัตตาภิ โชอิสต่อมาจากครูของท่านและทำให้เกิดความสนใจของผู้ฝึกโยคะจากทั่วโลก ให้เดินทางมาสู่เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของอินเดียแห่งนี้เพื่อให้ได้ชื่อว่า “ได้มาฝึกมัยซอร์กับคุรุจี” แล้ว
โยคะสไตล์มัยซอร์คือโยคะแบบอัษฎางคะโยคะอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งผู่ฝึกทุกคนจะต้องฝึกโดยการนับลมหายใจในแต่ละท่าอาสนะด้วยตัวเอง และปฏิบัติอาสนะไล่เรียงไปในซีรีส์ที่ฝึกด้วยตนเอง โดยที่ครูผู้สอนจะไม่ได้ทำหน้าที่ “สอน” โดยการบอกวิธีการฝึกหรือการเข้าสู่อาสนะ แต่ครูจะทำหน้าที่คอยดูแล ช่วยเหลือ และช่วยปรับจัดท่าของผู้ฝึกแต่ละคนเพื่อให้เข้าสู่อาสนะได้ลึกขึ้นหรือทำได้ถูกต้องยิ่งขึ้น เสน่ห์ที่ทำให้มัยซอร์โยคะเป็นที่นิยมฝึกนั้นผมเองคิดว่าเป็นเรื่องของผลจากสมาธิที่ได้จากการฝึก จากการจดจ่อในท่าอาสนะที่ตัวเองจะต้องทำ และการนับลมหายใจขณะอยู่ในท่านั้นๆ ด้วยตนเอง
ในห้องฝึกมัยซอร์โยคะที่ผมฝึกที่ “ศาลาแปด” ของครูอะเจย์เองนั้นเป็นบ้านสไตล์อินเดียประยุกต์ในลักษณะบ้านเดี่ยวสองชั้น ชั้นบนเป็นห้องฝึกที่ไม่กว้างนัก (ถึงกระนั้นพวกเราก็ยังแออัดยัดทะนานกันเข้าไปฝึกได้รอบละเกือบ 20 คน!) มีพื้นที่โล่งเอาไว้ให้นั่งเล่น พูดคุยกัน กินขนม อ่านหนังสือหรือสั่งเครื่องดื่มพวกจัย (ชาอินเดีย) มาจิบได้เมื่อฝึกเสร็จแล้ว
เวลาอันอเนกอนันต์ที่มัยซอร์ของผมนั้น เกิดขึ้นจากเมื่อฝึกโยคะจากการดุ่มเดินออกจากโรงแรมตอนตีสี่นิดๆ เข้าสู่ห้องฝึกสองชั่วโมงโดยประมาณตอนตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า เมื่อฝึกเสร็จก็จะค่อยๆ เดินเตร็ดเตร่แวะซื้อโยเกิร์ตสด (ราคาถูกมากเพราะที่อินเดียนิยมกินโยเกิร์ตจากนมวัวและนมกระบือเป็นหนึ่งในมื้ออาหารของพวกเขา) และแวะจิบชาถ้วยเล็กๆ สนนราคาเพียงแก้วละ 3 รูปี ก่อนจะเดินกลับไปพักเอาแรงที่ห้อง พอสายๆ ค่อยย่างกรายออกไปเดินเที่ยวในเมืองและไปชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ในเมืองมัยซอร์ ไม่ว่าจะเป็นตลาดสดที่เปี่ยมด้วยสีสันของข้าวของ ดอกไม้ ผลไม้ กระทั่งผู้คนท้องถิ่นจำนวนมากที่มาซื้อหาข้าวของที่ตลาดเทวราชากันทั้งวี่วัน หรือไม่ก็ไปเที่ยวชมพระราชวังมัยซอร์ที่ยังคงยิ่งใหญ่และงดงามน่าสัมผัส แต่ส่วนมากแล้วผมมักจะวนเวียนอยู่ตามร้านกาแฟร่วมสมัยยี่ห้อท้องถิ่นของอินเดียเอง ไม่ว่าจะเป็นร้าน Café Coffee Day หรือ Barista ในตัวเมืองเสียมากกว่า
แม้ไม่สามารถจะติดต่อเพื่อเข้าฝึกที่สถาบันมัยซอร์โยคะของคุรุจีปัตตาภิ โชอิสก็ตาม ผมเองก็ถือโอกาสไปเยี่ยมชมบรรยากาศแถวๆ ย่านที่ตั้งของศาลาโยคะของท่านซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองออกไปหลายกิโลเมตร ย่านนั้นเรียกว่าย่าน Gokulam มีบรรยากาศสบายๆ เต็มไปด้วยบ้านพักอาศัยที่ไม่แออัด ส่วนศาลาของคุรุจีนั้นก็ดูยิ่งใหญ่และมีขนาดใหญ่กว่าศาลาที่ผมฝึกอยู่ด้วยมากทีเดียว
นอกจากการเดินเล่นในเมือง แวะชมตลาดซื้อผลไม้หรือหาขนมหวานท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อระดับประเทศขนานแท้ของมัยซอร์กินเล่น ไปชมวังทั้งในตอนกลางวันและตอนกลางคืนที่มีการประดับแสงไฟสวยงาม ผมยังชอบที่จะนั่งรถประจำทางออกไปที่ภูเขาลูกหนึ่งที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของที่นี่ เรียกว่า Chamundi Hills รถเมล์ท้องถิ่นจะค่อยๆ แล่นพาเราออกนอกเมืองไปทางทิศตะวันออก วนเวียนไต่เขาขึ้นไปด้วยระยะทาง 12 กิโลเมตร ซึ่งพอไปถึงบนยอดเขาที่ไม่สูงมากเท่าไรนักก็ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากไปกว่าการไปไหว้พระในวัดฮินดูและการเดินเล่น หรือไม่ก็นั่งลงชมวิวของตัวเมืองที่มองเห็นอยู่วิบๆ จากนั้นก็ค่อยนั่งรถกลับลงมา เตรียมตัวพักเพื่อที่จะตื่นแต่เช้า เดินเข้าห้องฝึกโยคะอีกครั้งตอนเช้ามืด เป็นเช่นนี้ตลอดช่วงเวลาซึ่งอยู่ที่นั่นจนดูเหมือนว่าระยะเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันที่มัยซอร์ได้ถูกดึงยืดขยายออก…ให้นานขึ้น…เป็นเวลาอเนกอนันต์ที่ไม่รู้กาลจบลง